วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่งมะเขือเทศ

ช่วยป้องกันมะเร็ง และชะลอการเหี่ยวย่นก่อนวัย
 
            ทุกคนคงรู้จักมะเขือเทศกันดี แต่มาคอยจะรู้ว่ามันอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย เรานำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ คุณรู้รึเปล่าว่ามะเขือเทศนั้นอุดมด้วยวิตามินป้องกันมะเร็ง อีกทั้งยังทำให้ชะลอการเหี่ยวย่น
           
            จากการศึกษาของ ดร.ไมเคล กาเซียโน นักวิจัยของโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า การกินมะเขือเทศจะช่วยป้องกันมะเร็ง ต่อมลูกหมากในผู้ชาย และในมะเขือเทศยังมีสารไลโคพิน(Lycopene) อยู่เป็นจำนวนมาก อันเป็นตัวล้างพิษที่สำคัญในร่างกาย
การที่จะใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดนั้นต้องปรุงมะเขือเทศให้สุกเสียก่อน

            และในขณะเดียวกันแพทย์ไทยได้เผยเกี่ยวกับประโยชน์ของมะเขือเทศเช่นกันโดยน.พ.ดนัยพันธ์ อัครสกุล  โรงพยาบาลราชวิถี ให้ความรู้ ด้านโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในชายไทยว่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งในอดีตเคยเชื่อว่ามีน้อย ได้ขยับขึ้นมาเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 10 ของชายไทย และอันดับ 5 ของชายในกรุงเทพฯ
           
            น.พ.ดนัยพันธ์กล่าวอีกว่า การรับประทานอาหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยอาจจะพบมะเร็งเมื่ออายุ 70-80 ปี   ซึ่งก็จะไม่ทำให้ทรมานกับ    โรคมาก   ส่วนอาหารที่สามารถป้องกันโรคได้นั้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู เต้าหู้  ผักผลไม้ ที่มีไลโคพีน (Lycopene) เช่น มะเขือเทศสุก เป็นต้น

            นอกจากวิตามินซี ที่มีสูงในมะเขือเทศแล้ว วิตามินอื่นๆ ก็มีอยู่ครบทุกชนิด แถมเปลือกนอกของมะเขือเทศยังมีสารชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกองุ่นแดงที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย ส่วนประโยชน์ต่อคุณผู้หญิง  ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงาม กลัวรอยเหี่ยวย่นจะมาเยือนเร็วเกินไป ลองนำมะเขือเทศสุกมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้ววางแปะไว้บนหน้า หรือใช้น้ำมะเขือเทศคั้นสดๆ ทาตามใบหน้า   เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวลขึ้น         

            ถ้าใครเป็นคนที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศได้รู้สรรพคุณแบบนี้แล้ว ทั้งช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกมาก และยังทำให้ผิวสวยด้วย ก็เปลี่ยนใจกลับมาดูแลสุขภาพตัวเองได้แล้วนะครับ    
           

ที่มา:พิทักษ์  ชนะวงศากุล
แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ  (Slim Up)

         การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

           การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

           เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

 กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

           แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลักซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

           พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

           เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

           นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิกกรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

 แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

          เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

 ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

          จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

 กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
          ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

          ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย